สารอาหารธรรมชาติเพิ่มผลผลิต
แฮปปี้เพลนตี้ มีการผสมผสานระหว่างวัตถุดิบจากธรรมชาติและธาตุอาหารที่จําเป็น ต่อข้าว ไม้ผล, ไม้ดอก, พืชไร่, พืชผักกินผล, ผักกินใบ, หัวหอม, กระเทียม ฯลฯ ใน ช่วงระหว่างการให้ผลผลิตอย่างเหมาะสม ทําให้ได้ผลผลิตสูงขึ้นในแต่ละรอบการผลิต ทั้งยังเหมาะสําหรับการผลิตผลไม้นอกฤดูและช่วยลดปริมาณการใช้ปุ๋ยมากกว่า 70%
แฮปปี้เพลนตี้ ประกอบด้วย กล้วย, มะละกอ, เปลือกสับปะรด, ขนุน, หัวไชเท้า, ข้าวโพด, ฟักทอง, ฟอสฟอรัส, โพแทสเซียม, แคลเซียม, โบรอน, แมกนีเซียม,
เหล็ก, สังกะสี, เนื้อปลา, ข้าวโพดอ่อน และส่วนต่างๆ ของสัตว์
อัตราและวิธีใช้ แฮ็ปปี เพลนต์ ให้ได้ประสิทธิภาพ
> นาข้าว ฉีดพ่น 1-2 ครั้ง ระยะแรกข้าวอายุ 45 วัน ระยะที่สองข้าวอายุ 65 วัน หรือระยะข้าวเริ่มออกรวงและหลังจากตากเกสร 15-20 ซีซี ต่อน้ำ 20 ลิตร
> พืชไร่ ข้าวโพด ก่อนออกฝัก 7 วัน มันสําปะหลังอายุ 4 เดือน (ฉีดพ่นทางใบ และทางดิน) 15-20 ซีซี ต่อน้ำ20 ลิตร
> ไม้ผล ก่อนออกดอก 1 เดือน และระยะติดผล (10 วัน ฉีด 1 ครั้ง) 15-20 ซีซี ต่อน้ำ20 ลิตร
> พืชผักกินผล ฉีดพ่นระยะติดดอก และระยะติดผล 15-20 ซีซี ต่อน้ำ20 ลิตร ทุกๆ 5-7 วัน/ครั้ง
> ผักกินใบ ก่อนเก็บเกี่ยว 7 วัน ฉีดพ่น 1 ครั้ง 15-20 ซีซี ต่อน้ำ 20 ลิตร
>ไม้ดอก ฉีดพ่นระยะออกดอก 15-20 ซีซี ต่อน้ำ 20 ลิตร ทุกๆ 5-7 วัน/ครั้ง
> หัวหอม, กระเทียม ฉีดพ่นระยะลงหัว 1-2 ครั้ง 15-20 ซีซี ต่อน้ำ 20 ลิตร
ตารางเปรียบเทียบ แฮ็ปปี เพลนต์ กับ สารเคมีในท้องตลาด
สารอาหารธรรมชาติเพิ่มผลผลิต HAPPY PLENTY |
สินค้าสารเคมีในท้องตลาด |
1. พืชอุดมสมบูรณ์ด้วยอาหารจากธรรมชาติ |
1. พืชมีการเจริญเติบโตได้ด้วยการเร่งที่ผิดธรรมชาติ |
2. ผู้ผลิตและผู้บริโภคปลอดภัยจากสารพิษ |
2. ผู้ผลิตและผู้บริโภคได้รับอันตรายจากสารเคมี |
3. ช่วยยืดระยะเวลาการเก็บเกี่ยวนานขึ้น |
3. ระยะเวลาการเก็บเกี่ยวสั้น พืชโทรมไวเพราะถูกเร่งด้วยสารเคมี |
4. ผลผลิตได้รูปทรงสวยงามตามธรรมชาติ |
4. มีผลผลิตที่รูปทรงผิดเพี้ยน หรือไม่ได้มาตรฐาน |
5. ผลิตภัณฑ์มีราคาไม่แพง แต่ได้ผลตอบแทนสูง |
5. ผลผลิตมีราคาแพง ต้นทุนสูง การผลิตสูง |
6. มีธาตุอาหารตรงตามระยะที่พืชต้องการโดยเฉพาะ |
6. ต้องใช้ผลิตภัณฑ์หลายชนิด |
7. มีสี รสชาติธรรมชาติ ไม่มีสารพิษตกค้าง |
7. มีสารเคมีตกค้าง |
8. รักษาสมดุลธรรมชาติ ปลอดภัยต่อสภาพแวดล้อม |
8. มีผลกระทบกับสภาพแวดล้อม |
9. ใช้ทรัพยากรที่มีอยู่ในประเทศให้เกิดประโยชน์ |
9. สูญเสียเงินตราทําให้ขาดดุลการค้า |
10. ไม่ต้องเพิ่มปริมาณการใช้ |
10. ต้องเพิ่มปริมาณมากขึ้น |
11. เป็นที่ต้องการของตลาด ผลผลิตขายได้ราคาดี |
11. ไม่เป็นที่ต้องการของตลาด |
12. ลดมลพิษสารเคมี ไม่ทําลายระบบนิเวศ |
12. เพิ่มมลพิษ และทําลายระบบนิเวศ |
13. ลดต้นทุนการผลิต |
13. ต้นทุนการผลิตสูงขึ้น เพราะต้องเพิ่มปริมาณมากขึ้นเรื่อยๆ |
14. มีธาตุอาหารหลากหลายชนิดเพิ่มเติม |
14. ต้องใช้ผลิตภัณฑ์หลายชนิด |
15. เป็นระบบการเกษตรแบบยังยืน |
15. เป็นระบบการเกษตรที่ไม่ยั่งยืน |